การติดฟิล์มรถยนต์ มีความสำคัญในการช่วยลดความร้อนและช่วยกรองแสงแดดรวมถึงรังสียูวีที่จะเข้ามาภายในรถ ซึ่งจะไม่ใช่แค่การให้ความเป็นส่วนตัวแค่อย่างเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะอากาศในบ้านเราที่ร้อนระอุในตอนกลางวัน
หลายคนยังสนใจ บทความน่ารู้เพิ่มเติม
- ติดฟิล์มรถยนต์ คิดราคาอย่างไร?
- ติดฟิล์มรถยนต์ 3M รุ่นไหนดี?
- ติดฟิล์มรถยนต์ ยี่ห้อไหนดี?
สนใจติดฟิล์มรถยนต์ ติดต่อเราสิครับ
ดังนั้นก่อนเลือกติดฟิล์มรถยนต์ เราจึงควรศึกษาเกี่ยวกับประเภทของฟิล์มกรองแสง และประสิทธิภาพของฟิล์มกรองแสงให้ดีก่อน วันนี้เรามาเจาะลึกกันว่า ก่อนติดฟิล์มรถยนต์ ควรรู้อะไรบ้าง
ฟิล์มรถยนต์มีกี่แบบ เลือกแบบไหนดี?
การเลือกฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์สิ่งหลักที่ความคำนึงคือการกันความร้อนและความทึบของฟิล์มที่จะต้องไม่บดบังวิสัยทัศน์ในการขับรถและราคา ซึ่งเราจะสรุปออกมาให้เห็นภาพ ดังนี้
-
ฟิล์มกรองแสงรถยนต์แบบย้อมสี หรือฟิล์มดำธรรมดา
ฟิล์มกรองแสงชนิดนี้จะเป็นฟิล์มคุณภาพต่ำที่สุด และราคาถูกที่สุด ประมาณ คันละ 1000 บาท สามารถกรองแสงได้เล็กน้อย แต่จะไม่มีประสิทธิภาพในการกันรังสีความร้อน ซึ่งยังทำให้อุณหภูมิในรถยังสูงอยู่ และมีอายุการใช้งานเพียงแค่ 1-3 ปีเท่านั้น
-
ฟิล์มกรองแสงรถยนต์แบบฉาบโลหะ หรือฟิล์มปรอท
ฟิล์มปรอท เป็นฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ที่ค่อนข้างได้รับความนิยม เนื่องจากราคาไม่แพงมากและกันร้อนได้ดี เด่นในเรื่องการสะท้อนรังสีความร้อนและประสิทธิภาพในการลดอุณหภูมิ
แต่ฟิล์มที่เคลือบด้วยโลหะมักมีปัญหาในเรื่องของการรบกวนสัญญาณ GPS , easy pass ,สัญญาณโทรศัพท์มือถือ และข้อเสียในการสะท้อนแสงไปยังกระจกของรถฝั่งตรงข้าม อายุการใช้งานประมาณ 5 ปี
-
ฟิล์มกรองแสงรถยนต์แบบนาโน
ฟิล์มกรองแสงนาโน ชนิดนี้เด่นในเรื่องตัวฟิล์มที่ทึบเมื่อมองจากภายนอกจะให้ความเป็นส่วนตัว ข้อดีคือฟิล์มกรองแสงชนิดนี้จะไม่ไปรบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์เหมือนฟิล์มปรอท สามารถป้องกันรังสีความร้อนได้ค่อนข้างดี อายุการใช้งานประมาณ 7 ปี
-
ฟิล์มกรองแสงรถยนต์แบบเซรามิค
ฟิล์มเซรามิค ค่อนข้างได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะเด่นในเรื่องในความเป็นส่วนตัวเมื่อมองจากภายนอก และการมองเห็นจากภายในมีความโปร่งใส สบายตา และยังสามารถกรองรังสีความร้อนและรังสีต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ อายุการใช้งานตั้งแต่ 7-10 ปีขึ้นไป ทำให้การติดตั้งของฟิล์มกรองแสงชนิดนี้ราคาค่อนข้างสูง
ติดฟิล์มรถยนต์แบบไหนดี ติดต่อเราสิครับ
ความเข้มของฟิล์มกรองแสง 40 60 80 แตกต่างกันอย่างไร?
- ฟิล์มกรองแสงความเข้ม 40% แสงจะเข้าได้ประมาณ 30-40% เป็นฟิล์มที่ความเข้มทึบน้อยที่สุด ข้อดีคือสามารถมองเห็นด้านนอกได้อย่างชัดเจน เพราะเนื้อฟิล์มค่อนข้างใส เหมาะกับคนเน้นขับรถในเวลากลางคืน
- ฟิล์มกรองแสงความเข้ม 60% แสงจะเข้าได้ประมาณ 17-20% เป็นฟิล์มที่นิยมติดกันมากที่สุด กันความร้อนได้ดีกว่าฟิล์มกรองแสงความเข้ม 40% แต่การมองเห็นในเวลากลางคืนอาจจะไม่ชัดเจนเท่ากับความเข้ม 40% หากเน้นขับรถในตอนกลางคืนบ่อยๆจะไม่ค่อยแนะนำ
- ฟิล์มกรองแสงความเข้ม 80% แสงจะเข้าได้ประมาณ 3-6% ฟิล์มกรองแสงประเภทนี้จะกันความร้อนได้ดีที่สุด เน้นให้ความเป็นส่วนตัว จะนิยมใช้ติดเฉพาะกระจกด้านข้างและบานหลัง
แต่การเลือกความเข้มของฟิล์มกรองแสงก็จะขึ้นอยู่กับความชอบและการใช้รถของแต่ละคนของแต่ละคนด้วย ว่าเน้นใช้รถยนต์ในช่วงเวลาไหน รวมถึงอายุและสายตาของคนขับแต่ละคนด้วย
ฟิล์มติดรถยนต์ รับประกันอย่างไร?
ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ที่มีคุณภาพดีโดยทั่วไปจะมีการรับประกันจากผู้ผลิต เพราะถ้าเกิดฟิล์มมีปัญหาหรือเริ่มลอก ร่อน ภายในระยะเวลาที่รับประกันก็สามารถนำไปเคลมได้ แนะนำให้ซื้อกับร้านค้า หรือตัวแทนจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ และมีบริการหลังการขาย
วิธีดูแลรักษาหลังจากติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์
- งดเลื่อนกระจกขึ้น-ลง หลังจากติดตั้งฟิล์มกรองแสงประมาณ 7-10 วัน
- งดล้างรถ 1 วันหลังจากติดตั้งฟิล์มกรองแสง 1 วัน
- ไม่ควรใช้น้ำยาเช็ดกระจกเช็ดถูบริเวณเนื้อฟิล์ม เพราะในน้ำยาเช็ดกระจกจะมีสารที่ทำให้ฟิล์มเสื่อมไว แนะนำให้ใช้เป็นน้ำเปล่าเช็ดแทน
- หากมีกล้องหน้ารถ หรือ easy pass ควรติดหลังจากติดฟิล์มกรองแสงประมาณ 1 เดือน เนื่องจากในช่วงระยะแรก หากน้ำสิ่งของหนักๆไปแปะบนฟิล์มที่ยังไม่เซ็ตตัว อาจทำให้ดึงแผ่นฟิล์มจนร่อนออกมา